วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

ไม่ยึดมั่นถือมั่น

     
    หลักอันนี้จะต้องนำเอามาใช้กับชีวิตประจำวันของเรา เราจะกิน อยู่นั่ง นอน ยืน เดิน บริโภค ใช้สอย แสวงหา ทำอะไรต่างๆเหล่านี้ ต้องมีสติปัญญาเพียงพอที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึก ว่าเรามีอยู่ เราเป็นผู้ทำ ผูู้กิน ผู้เดิน ผู้นั่ง ผู้นอน ผู้บริโภคใช้สอย นี้เรียกว่าทำให้มันว่างจากตัวเราอยู่เสมอ ให้เป็นปกติเป็นอยู่ด้วยความรู้สึกที่ว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น

         การปฎิบัติธรรม สามารถจัดทำพร้อมกันไปได้กับการทำการงาน หรือการเคลื่อนไหวในการงานประจำวันนั่งเอง เป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างสูงยิ่งไปเลย ไม่ต้องแยกตากกัน ขอแต่ให้มี่สติสัมปชัญญะอย่างนี้อยู่ งานก็ได้ผลดีด้วย ไม่ผิดพลาดด้วยและ ธรรมะ ก็เจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งพร้อมกันไปในตัวการงานนั้นด้วย นี้เรียกว่าเป็นอยู่ตามปกติในเรื่อง ไม่มีการเอา ไม่มีการได้

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชอบเรื่องนี้ :D

ฟังคนรวยเบอร์ 3 ของโลกสอนลูก

โดย พิศณุ นิลกลัด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ มหาเศรษฐีหมายเลข 3 ของโลกวัย 81 ปี ออกมาประกาศว่าเมื่อตัวเองเสียชีวิต ผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ของเขาคือ ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ลูกชายคนโตที่ปัจจุบันอายุ 57 ปี

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา วอร์เร็นและฮาเวิร์ดให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS

ไม่บ่อยนักที่วอร์เร็นออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว แต่ทุกครั้งก็มีมุมมองและแนวคิดดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสมอ ยิ่งมีลูกชายมาร่วมเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ก็ทำให้ทราบถึงเรื่องราวน่ารักปนขบขัน ตลอดจนถึงวิธีการเลี้ยงลูกว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เป็นลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านเมื่อโตขึ้น

ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ประกอบอาชีพอะไรและมีคุณสมบัติอย่างไรที่ทำให้พ่อเชื่อใจว่าจะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์

คำตอบคือฮาเวิร์ดเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด ซึ่งวอร์เร็นมั่นใจว่าลูกชายคนนี้จะสามารถบริหารงานบริษัทให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัฒนธรรมของบริษัทที่ได้วางรากฐานเอาไว้ โดยเปรียบว่าฮาเวิร์ด จะทำหน้าที่เป็น Guardian of the Culture หรือ "ผู้พิทักษ์วัฒนธรรม" องค์กร

วอร์เร็นเคยกังวลว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว ประธานคนใหม่อาจบริหารงานแบบตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นต่ำมากๆ แต่การได้ฮาเวิร์ดมาดำรงตำแหน่งประธานก็เหมือนกับการสร้างเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งฮาเวิร์ดจะไม่ได้รับเงินเดือน และไม่ต้องเข้าทำงานทุกวัน

หลายคนสงสัยว่าฮาเวิร์ดซึ่งเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด มีความรู้ความสามารถพอที่จะบริหารบริษัทการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาลเป็นล้านล้านบาทหรือ?

วอร์เร็นบอกเขามั่นใจว่าลูกชายมีความรู้ความสามารถมากพอ ซึ่งในจำนวนลูก 3 คน ฮาเวิร์ดเป็นลูกคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งบอร์ดของบริษัท

ตอนทราบว่าพ่อจะส่งทอดตำแหน่งประธานให้ ฮาเวิร์ดบอกว่าเซอร์ไพรส์ พร้อมหัวเราะแล้วพูดต่อว่าไม่อยากจะบอกว่าพ่อไม่มีวันที่จะลงจากตำแหน่งจนกว่าจะถูกฝังลงดิน

ถามฮาเวิร์ดว่ากังวลหรือเปล่าที่จะมารับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ เขาอมยิ้มและหัวเราะเช่นเคย ก่อนตอบว่าตราบใดที่เขาได้ทำไร่ ตัวเขาก็ไม่มีปัญหา

ฮาเวิร์ด สนใจทำไร่ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ตอนนั้นใช้สวนหลังบ้านปลูกข้าวโพด

ตอนเด็กเขาและพี่สาวกับน้องชายไม่ทราบเลยว่าพ่อร่ำรวยมาก เขาเล่าเรื่องตลกของพี่สาวสมัยเป็นนักเรียนชั้นประถมว่า ครูถามนักเรียนทุกคนในห้องว่าพ่อทำงานอะไร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรสามคนพี่น้องทราบเพียงแต่ว่าพ่อมีอาชีพเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Securities Analyst) แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าอาชีพนี้คืออะไร ดังนั้น พี่สาวก็ตอบครูไปว่า พ่อเป็น Security Guard หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย!

ซึ่งสามพี่น้องก็เข้าใจผิดอยู่นานว่าพ่อมีอาชีพนี้

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ฮาเวิร์ดเปลี่ยนคณะที่เรียนถึง 3 หน

ถามวอร์เร็นว่ากังวลหรือเปล่าที่ลูกเปลี่ยนคณะเรียนบ่อย

เขาตอบว่าไม่กังวลเลยเพราะเข้าใจดีว่าลูกต้องการค้นหาตัวเองว่าต้องการทำอะไร แม้ในที่สุดฮาเวิร์ดเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่วอร์เร็นก็บอกว่าไม่รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะสำหรับเขาแล้วลูกจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

วอร์เร็นยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อที่แปลก แต่ภรรยาของเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ซึ่งลูกทั้งสามคนไม่มีใครเรียนจบมหาวิทยาลัย และพูดตลกว่าถ้านำหน่วยกิตของลูกทั้ง 3 คนมารวมกัน ก็สามารถได้ปริญญารวมกัน 1 ใบ!

เมื่อฮาเวิร์ดค้นพบว่าอยากเป็นเกษตรกร วอร์เร็นก็ซื้อที่ดินให้ลูกทำไร่ ไม่ได้ยกที่ดินให้เลย แต่ให้ฮาเวิร์ดเช่า โดยคิดค่าเช่าตามน้ำหนักตัวที่ขึ้นลงของฮาเวิร์ด!

สาเหตุก็เพราะฮาเวิร์ดตัวอ้วนใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ลูกลดน้ำหนัก วอร์เร็นจึงตั้งกฎค่าเช่าที่ดินไว้ว่าค่าเช่าขึ้นลงตามน้ำหนัก หากน้ำหนักตัวเพิ่มค่าเช่าก็สูงขึ้น หากน้ำหนักตัวลดค่าเช่าก็ลดตาม

ถามว่าทำไมถึงไม่ยกที่ดินให้ลูก วอร์เร็นตอบว่าการที่ฮาเวิร์ดใช้นามสกุลบัฟเฟ็ตต์ไม่ได้หมายความว่าจะได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะเขาไม่ต้องการให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างลูกมหาเศรษฐีที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ

แม้จะให้ฮาเวิร์ดจ่ายค่าเช่าที่ดิน แต่วอร์เร็นก็ให้เงินฮาเวิร์ดและลูกอีกสองคนเท่ากันคนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 31,000 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินจำนวนนี้เพื่อการกุศล ซึ่งฮาเวิร์ดก็ใช้เงินนี้ในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากไร้ในประเทศกำลังพัฒนา สอนวิธีการเพิ่มผลผลิต ฮาเวิร์ดบอกว่าเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกพืชผักผลไม้ขายกลับไม่ค่อยมีจะกิน ถือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข

แม้ว่าจะได้เงินจากพ่อเพื่อใช้ในการกุศลตั้งสามหมื่นล้านบาท แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ลูกๆ รู้สึกหงุดหงิดที่พ่อบริจาคเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์หรือหนึ่งล้านล้านบาทให้แก่มูลนิธิของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งสนิทกันเหมือนน้องชายอีกคน

แม้จะทราบมาตลอดว่าพ่อจะไม่ยกทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ให้ แต่บางครั้งลูกๆ ก็รู้สึกว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีเงินมากกว่านี้

ปัจจุบันฮาเวิร์ดมีความสุขกับการทำไร่ข้าวโพด 3,750 ไร่ในรัฐอิลลินอยส์ เขาบอกว่าคงไม่มีสิ่งไหนที่เขาสามารถทำแล้วประสบความสำเร็จได้อย่างพ่อ แต่พ่อกับแม่ก็บอกเสมอว่าไม่เป็นไร

วอร์เร็นบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกๆ จะพยายามแข่งขันกับเขา ลูกควรทำสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยสอนลูกว่าให้ทำในสิ่งที่รักเหมือนกับที่พ่อรักที่จะทำเงิน

"ความสำเร็จในชีวิตคือการทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำออกมาดี

และสุดยอดแห่งความหรูหราในชีวิตก็คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน"

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

บอส มัดเล่ =D




สวัสดีครับ การที่จะเป็นอาจารย์ หรือ สอนลูกศิษย์สักคน คนที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในวงการหรือด้านนั้นๆเนี่ย แต่ล่ะคนก็จะมีเงื่อนไข และ ข้อกำหนด ตามแล้วแต่ผู้รู้ท่านนั้นๆคิดว่าสมควรครับ ซึ่งส่วนมากหากนักเรียนเข้าตาม spec ของท่านเหล่านั้นพอดี การถ่ายทอดความรู้ก็จะเกิดขึ้นได้

ยกตัวอย่าง กรณี ผมสอนเทรดเดอร์ แล้วกันครับ 

            ขั้นแรกผมก็ต้องหาคนที่คิดว่ามีความมุ่งมั่นตั้งใจจะเรียนรู้จริงๆเสียก่อน อย่างตอนผมรับสมัครเทรดเดอร์ เงื่อนไขของการส่งสมัครบางทีก็ดูไร้สาระ เช่นเรียงความ super hero การเก็บบันทึก poker บางคนที่ความอดทนน้อยก็จะทำแบบขอไปที แบบผ่านๆไป บางคนที่ตั้งใจอยากเรียนรุ้เราจะสัมผัสได้ถึงความรุ้สึกของนักเรียนเหล่านั้น แต่ถึงกระนั้น การฝึกก็ยังต้องทดสอบต่อไป แม้ว่าเค้าจะได้คัดเลือกมาแล้วในบรรดาหลายๆคนก็ตาม การต่อสุ้ที่กินระยะเวลายาวนานกจะทำให้บางคนท้อ และ ล้มความตั้งใจไป เพราะอันดับความสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ในความคิดของผมคือ ความอดทน และ ความพยาม ที่สูงมากๆ ดังนั้นเทรดเดอร์ต้องฝึกโดยใช้เวลานานมากๆ ซึ่งบางคนก็ท้อ เนื่องจากความอดทนถึงขีดสุด ก็ออกไป ซึ่งเทรดเดอร์แต่ล่ะคนที่ผมตกลงเทรนให้นั้น ผมเป็นคนออกทุน ค่าใช้จ่ายเองให้ทั้งหมด สุดท้ายก็จะเหลือแต่คนที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงเท่านั้น และ ตอนนี้เค้าก็ได้ไปทำงานให้กองทุนฝรั่งด้วย จัดเป็นเทรดเดอร์ไทยที่ผมภูมิใจมาก ความสุขของการเป็นอาจารย์ ก็คือตอนนี้หล่ะครับ  : )


"เกณฑ์เดียวที่เราดูคือระดับความอดทนในการเรียนรู้หลังจากผ่านตอนแรกแล้ว ส่วนตอนแรกที่เกณฑ์การคัดเลือกไม่มีรายละเอียด ก็เพื่อที่ดูแนวความคิดสร้างสรรค์แต่น้องๆล่ะคนก่อนน่ะครับ ^ ^"

"ทุกอย่างครับทั้ง Resume ทั้งเรียงความ แม้กระทั้ง poker stat ทุกอย่างสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ได้หมด แต่อย่างที่บอกครับ น้องที่มาต้องอดทนมากๆ เพราะเราเทรนแต่ล่ะรุ่นใช้เวลาเป็นปีครับ ^ ^ เพื่อปั้นเทรดเดอร์คุณภาพจริงๆ ดังนั้นรุ่นพี่รุ่น 1 และ 2 เลยค่อนข้างจะโหดนิดหน่อยครับ"

" สุดท้ายจากระบบแบบนี้ เราก้จะเหลือคนที่ทุ่มเท และตั้งใจที่แท้จริงน่ะครับ ^ ^ ตอนนั้นล่ะ Job จะเริ่มเข้ามาแล้ว"

"สรุปอย่างเดียวเลยครับวุฒิอะไรไม่สำคัญสำหรับที่นี่ ใจรัก และ ทุ่มเท แค่นั้นทุกอย่างเราก้าวเติบโตไปพร้อมกันได้ตลอด ^ ^"

"เพราะผ่านการสอบ 6 เดือนได้น่าจะเหลือน้อยล่ะครับ ต้องคน ทรหดจริงๆ ^ ^

-  Mudley Group -

----------------------------------

ทุกครั้งที่ผมได้อ่านบทความนี้ มันทำให้ผมรู้สึกภูมิใจมากๆๆ ที่ได้เข้ามาฝึกในสังกัด Mudley Group 
ถึงskill ผมจะยังไม่ดี แต่ก็พร้อมที่จะเรียนรู้และทุ่มเทแรงกายและใจ ในการฝึกครับ อิอิอิ  ^___^  ขอบคุณบอสมัดเล่