วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

งานวิจัย

ผมมีงานวิจัยด้วยนะ จริงๆก็เรียกให้มันดูหรูๆเองหละครับว่างานวิจัย แต่จริงๆมันมันก็แค่การทดลอง เอาอะไรๆมาติดๆต่อๆแล้วเก็บผล... งานแรกก็คือ เรื่องโมเดล.....เทรดเดอร์หลายๆคนมีโมเดลเป็นของตัวเองกันหมด ผมก็อยากทำโมเดลเองบ้างแบบเท่ๆ 

ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโมเดลการเทรดหรือเปล่า มันจะดีและใช้ได้หรือเปล่า คำถามเหล่านี้ยังไม่ผ่านการตอบอะไร อยู่ในช่วงเก็บข้อมูลและทดลอง และมันต้องใช้เวลานานด้วยซิ.....จำกัดความคำว่าโมเดล  
ที่ผมเข้าใจก็คือจุดตัดสินใจซื้อขาย นั้นเอง 

แรกเริ่ม 
โมเดลผมจะจำลองเหตุการณ์ต่างๆ 
สมุมติฐาน
1.ราคาสินค้าทำให้เราทราบ อารมณ์โลภ หรือกลัว
2.พอร์ตจำลอง long-short ทำให้เราทราบสภาวะ flow cash

เงื่อนไขการเข้า
long เมื่อ ความกลัวมากกว่าโลภ – หลังจากราคาลดลง ช่วงที่ cash sleep
 Short เมื่อ ความโลภมากกว่าความกลัว - หลังจากราคาสูงขึ้น ช่วงที่ cash sleep

ความหมายตัวแปรต่างๆ

ความกลัวคือ ราคาลดลง
 ความโลภคือ ราคาสูงขึ้น
Cash  in คือ port long ดึงกระแสเงินสดได้มาก 
Cash  out คือ port short ดึงกระแสเงินสดได้มาก
Cash sleep คือ ทั้ง port long+short ดึงกระแสเงินสดได้เฉลี่ยเท่าๆกัน

วีธีทำ

1.ผมจะสร้างพอร์ตจำลอง pure long ในสินค้า A
2.ผมจะสร้างพอร์ตจำลอง pure short ในสินค้า A
3.แล้วบันทึกกระแสเงินสดของทั้ง 2 พอร์ต
4.หากเข้าเงื่อนไขก็เข้า position ได้ 

บันทึกการทดลอง - ยังไม่ได้ทดลองครับคิดว่าต้องใช้เวลานานเหมือนกันครับ
ไว้ผมบันทึกเก็บข้อมูลตลาดแล้วแสดงผล และสังเกตุช่วงวัฎจักรตลาดแล้วจะมา สรุปเพิ่มดูว่ามมันพอจะใช้เป็นตัวตัดสินใจได้เปล่า แหะๆๆ




เป็นตัวอย่างการทดลองเล็กๆของผมครับ น่าจะเริ่มเห็นภาพแล้วซิ กลัว>โลภ.. Cash out ???  อิอิอิ

" เรื่องของการสร้างโมเดลของเราให้สอดคล้องกับ mental เราได้เนี่ย ถ้าน้องทำได้ก็เท่ากับน้อง
เตรียมตัวประสบความสำเร็จในวงการนี้ได้แน่นอนครับ ^ ^ "-บอส มัดเล่กล่าวไว้ 



ส่วนตัวผมมีรูปแบบโมเดลในดวงใจไว้อยู่แล้วเป็นรูปแบบที่ผมเทรดแล้วสบายใจสุดๆรูปแบบนั้นหากเรียกเท่ๆก็จะเรียกได้ว่าเป็น market model จริงๆก็ไม่อยากใช้คำว่าmarket modelหรอกครับ 
เพราะผมรู้แค่เบซิกๆ ของมันเฉยๆอาจจะรู้เกี่ยวกับโมเดลนี้แค่ 1%ก็ได้ อิอิอิ แต่ยังไงผมก็ชอบมันเพราะมันเสมือนเราจำลองพอร์ตเราเป็นตัวตลาดซะเอง.....เท่ไหมหละครับ ^__^






วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

test


" Return = cash + beta + alpha
การทำ true alpha เราต้องแยกพอร์ต cash flow กับ พอร์ตตัว ทำ alpha ออกจากกันนะครับ หากเรายังไม่เก่งการแยกจากกันจะทำให้เรารุ้ว่า เราควร balance พอร์ตแบบไหน 

เช่นถ้าเรา generate cash flow ไม่ทัน นั่นหมายความว่าพอร์ตเราต้อง มี cash เผื่อมากกว่าพอร์ตคนอื่นเป็นต้นครับ  -มัดเล่กรุ๊ป

   
  เห็นพี่ต้านโพสต์เกี่ยวกับพอร์ต true alpha แล้วต้องกลับมาดูพอร์ตทดลองของตัวเองอีกครั้ง
(กำลังฟาร์มเกมอยูเลยฮาๆ) >..<

เอาพอร์ตมาโชว์อีกแล้ว ตอนนี้บอกเลยว่าพอร์ตลบหนักมากๆ และมีผลกระทบต่อจิตใจพอสมควร ผมจึงเอาข้อมูลมาพล็อตเป็นกราฟ ดูภาพรวมอีกครั้ง.....เห็นแล้วตกใจมากๆเพราะ คิดว่าตอนนี้พอร์ตถึงจุดที่ Equity ต่ำสุดๆอีกรอบแล้ว 
แต่พอมาดูภาพรวมของพอร์ตทำให้ ดีใจสุดๆว่าส่วนของ Equity ลงไม่ถึงจุดต่ำสุดเก่าๆ (A-B) จากที่ผมสังเกตคือ จุด (A Equity -500) (B Equity -700) (C Equity -530) ผมจึงเห็นว่าพอร์ตนี้มันทดมือทนเท้าต่อตลาดดีจริงๆ ทั้งๆที่ตอนนี้สถานการณ์ position พอร์ตผมลบหนักมาก (-530) แต่พอร์ตยังแลดูสวยอยู่อิอิ หวังอย่างเดียวตลาดอย่าพึ่งวิ่งในระดับ 10,000จุด ก่อนก็พอ
ส่วนที่พี่ต้านบอกว่า


1."ถ้าเรา generate cash flow ไม่ทัน นั่นหมายความว่าพอร์ตเราต้อง มี cash เผื่อมากกว่าพอร์ตคนอื่นเป็นต้นครับ "  ดูจากพอร์ตเราคงเป็นช่วงแรกๆของพอร์ตตอนที่ Equity ติดลบมากๆกินเงินทุนผมไปเยอะจึงต้องมี cashเผื่อไว้เยอะ


2."เราต้องแยกพอร์ต cash flow กับ พอร์ตตัวทำ alpha ออกจากกัน "
....หากEquity ยืนบนเส้นสีดำเยอะเมื่อไหร่ ก็จะดึงเงินออก มาทำแบบเดิมเพื่อจะฝึก balance พอร์ตให้ง่ายๆ พอร์ตใหม่นี้น่าจะเรียกว่าพอร์ต alpha....จริงๆไม่คิดเลยว่าใกล้ถึง alphaไวขนาดนี้ แต่พอร์ตจำลองใช้เงินน้อยเลยถึงไวมั้ง...หากพอร์ตหลังล้านขึ้น คงใช้เวลา 20ปีเป็นอย่างน้อย อย่างที่ท่านเรย์บอก...อีกอย่างตลาดวิ่งแค่ 1000-3000จุดเลยทำให้พอร์ตปลอดภัย

ทั้งหมดเป็นการเอาข้อมูลมาเชือมโยงไปๆมาๆเอง =__=



+++++++++++++++++++++++++++++++

8/30/2013

เย้ๆๆ มีรายใหญ่กำลังมาสะสมAUDแล้ว....หลังจากที่เรารับภาระการติดลบค่าเงิน AUDมานาน หนักพอร์ตมากๆ
+(ตัวคอเร็กชั่นAUD ดันวิ่งน้อยป่วยหนักอีก)...เราจะได้ Cash-flowคืนจาก AUDไหมนะะะ...
หรือต้องรับภาระ อันยิ่งใหญ่นี้ต่อไป ลุ้นๆๆบรือออ.... ความผิดพลาดก็คือ มี positionถี่เกินไป...ด้วยความฮึกเฮิมจากการนำพอร์ตผ่านรอบวิกฤตของpositionมาได้ 2รอบ ฮ่าๆๆ
 
(การเอาข้อมูลpositionของพอร์ตมาโชว์เป็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะอาจจะโดนเทพพระเจ้าทุบเอาpositionได้ แต่สัญญาว่าหากพอร์ตใหญ่มากกว่านี้....จะไม่เอามาโชว์เลย ='P )




9/1/2013  ผมเริ่มกลัวละซิ ผมไปอ่านไปเจอนี้มา 


อย่าลืมพวก Forex เนี่ย ทศนิยมมันเยอะด้วย นั่นคือวิธีที่ Dealing desk หากินกับเราโดยให้ Leverage สูงๆครับ ลองคำนวนดูง่ายๆว่า Euro/Jpy  จาก  170 มา 98 ว่ามันกี่ pips สายป่าน คนเทรดค่าเงินต้องหนามากๆจริงๆครับ เพราะเวลาเทรนมาเนี่ย หากสวนเทรนล่ะ เรียบร้อยเลย ^ ^

จากคุณ: MudleyGroup

รู้สึกเหมือนผมไหมครับ....ผมรู้สึกอ่อนน้อมต่อตลาดทันที...เสมือนลูกหนูยืนอยู่ต่อหน้าแมวยักษ์ทันที...ทำให้ผมคิดว่าหากได้กำไรจากพอร์ตนี้แล้วจะรีบเก็บไปลง ETFเลย T^T  ขออยู่ในตลาดนานๆก่อนแล้วกันนะครับ ค่าเงินไม่มีเพดาน 

1966-2011 หลอนเลย







วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Hedge Surprise !!!!

Wow!  รู้สึกดีใจสุดๆๆกับน้ำใจที่บอสให้ ตอนนี้ผมได้รับหน้าที่เพิ่มแล้วว ก็คือHedge position ของแผนกฮ่าๆๆๆ ดีใจสุดๆ เป็นของตอบแทนที่บอสให้ที่เหนือคาดมากๆ จริงๆแค่ได้รวมเทรดกับทีมงานก็รู้สึกเป็นเกียรติของชีวิตแล้ว รู้สึกขอบคุณมากๆ และจะทำหน้าที่ Hedge ให้ดีที่สุด  performanceให้ดีที่สุด และจะพัฒนาตัวเองอีกเรื่อยๆ แล้วความรู้เรื่องการ Hedge ระดับเฮดจ์ฟันด์ที่ได้เรียนรู้มันเป็นความรู้ใหม่จริงๆ
ที่ไม่เคยรู้มากก่อน และยังต้องแอบฝึกเองให้คล่องๆอีกมากๆๆเพื่อจะทำให้ ผลงานออกมาดีที่สุดไม่พลาด  (การเฮดจ์แบบนี้มันอาจจะต้องดูจอตลอด อิอิอิตื่นเต้นจัง ^^ )

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุป วงจรหนี้ระยะสั้น

วงจรหนี้ระยะสั้นหรือเรียกได้ว่าธุรกิจถูกควบคุมโดยธนาคารกลาง ก็คือธนาคารกลางจะเป็นคนควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวเร็วไป(ฤดูร้อน) หรือเศรษฐกิจถดถอย (ฤดูหนาว)

-  " รอบแรก "(ใช้เวลา 5-6ไตรมาส) จะเริ่มต้นด้วยการใช้จ่ายของประชาชน ความต้องการรถยนต์ ที่อยู่อาศัย ยอดค้าปลีก เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก การจ้างงานมากขึ้น สินเชื่อเติบโตเร็วเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง(GDPเกิน 4%) อัตราเงินเฟ้อต่ำ การบริโภคแข็งแรง การสะสมสินค้าการคลังเพิ่มขึ้น
ช่วงนี้ตลาดหุ้นสหรัฐจะได้ผลตอบแทนที่ดีมาก (อัตราเงินเฟ้อไม่เพิ่้มขึ้น+อัตราดอกเบี้ยก็ไม่ขึ้น)

-  "กลางวงจร" (กินเวลาเฉลี่ย3-4ไตรมาส) การเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มช้าลง (GDP 2%) อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ

-  "รอบปลาย"(มักจะเริ่มประมาณครึ่งปีในการขยายตัวของเศรษฐกิจ)ช่วงนี้การเติบโตเศรษฐกิจยังดีอยู๋ (GDP 3.5-4%) การผลิตออกมาามาก ความต้องการบริโภคยังแข็งแกร่งอยู่ แต่อันตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอุปทานหรือความต้องการที่จะขายจะมีมากขึ้น ตลาดหุ้นปรับตัวลง ก่อนที่เศรษฐกิจจะเน่าตามมา

-  "ช่วงต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอย"  อัตราเงินเฟ้อที่สูงจะเริ่มลดลงเพราะการควบคุมของเฟด 

-  "ช่วงปลายของภาวะเศรษฐกิจถดถอย  " ธนาคารลดการดำเนินนโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อลดลง อัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ราคาหุ้นที่สูงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัว แล้วก็จะเริ่มรอบแรกของวงจรใหม่ 


สรุป เอาให้เป็นภาษาตัวเองอีกที หากอ่านไม่รู้เรื่องไม่รู้ด้วยนะ ฮ่าาา....
      เศรษฐกิจทุกๆประเทศ ไม่ว่าจะ อเมกา ยุโรป เอเชีย หรือใดๆก็ตาม เราจะเปรียบให้มีทั้งหมด
3 ฤดู คือ ฤดูร้อน  ฤดูอบอุ่น ฤดูหนาว  ส่วนมากนักลงทุนวอลล์สตรีทชอบฤดูอบอุ่น ร้อนไปนักลงทุนก็กังวล หนาวไปก็กังวล ฮ๋าๆๆ

1. ฤดูร้อน ช่วงนี้เริ่มด้วยที่ภาคการบริโภคเริ่มมากขึ้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น ซื้อรถยต์ บ้านอาหาร จนภาคผลิตเริ่มผลิตมากขึ้นๆอัตราการจ้างงานมากขึ้น  อัตราว่างงานแถบไม่มีเพราะ บริษัทและโรงงานต่างๆก็รีบเร่งปัจจัยการผลิต (พนักงานสามารถต่อรองราคาเงินเดือนได้ช่วงนี้ ฮ่าๆๆ )  ส่งผลทำให้ของสินค้า บริการต่างๆ ก็ขึ้นราคาสูงขึ้นๆ ผู้ผลิตแฮปปี้เพราะได้กำไรงาม และอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นๆ

2. ฤดูอบอุ่น ช่วงนี้ดูได้จากอัตราเงินเฟ้อคงที่ การผลิต การบริโภคอยู่ในระดับสมดุน ซื้อง่ายขายคล่อง ผู้ผลิตต่างก็มีกำไรจากของที่ขึ้นราคา นักลงทุน แฮปปี้สุดๆช่วงนี้ แต่ก็ไม่นานสัญญาณของฤดูหนาวก็เริ่มมาก็คือ ปัจจัยการผลิตมากขึ้นมีของเต็มตลาดขายไม่ได้เพราะราคาแพง เงินเริ่มเฟ้อหนัก ทำให้กำลังผู้ซื้อไม่พอ ผู้ซื้อเริมไม่ต้องการ พูดง่ายๆก็คือ อุปทานมากกว่าอุปสงค์  ต้องการขายมากกว่าคนต้องการซื้อก็เริ่มเข้าสู่ต้นๆของฤดูหนาว

3. ฤดูหนาว หลังจากที่โรงงาน-บริษัทเริ่มขายของไม่ออก ก็เริ่มลดราคาสินค้าบริการลง ลดแล้วลดอีกคนซื้อก็ยังไม่ซื้อ จนผู้ประกอบการที่แข็งขันกันก่อนๆหน้านี้เริ่มแย่งกันลดราคาของลง  555+ ผู้ประกอบการต่างๆก็ต้องลดต้นทุนการผลิตลง ด้วยการปลดพนักงานลง ลดการจ่ายเงินเดือนลงเพื่อให้บริษัทอยู่รอด เพราะ ต้นทุนการผลิตแพงและขายของไม่ออก ช่วงนี้ธุรกิจไหนไม่แข็งแรงก็ล้มไปตามๆกัน คนเริ่มหันมาออมเงินมากกว่าลงทุน ฤดูนี้จะกินเวลานานกว่าฤดูอื่นๆ ฤดูนี้หมดไปเมื่อผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ่นก็ กลับไปอ่านข้อ1ใหม่ ฮ่าๆๆ