วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

สรุปวงจรหนี้ระยะยาว

สรุปวงจรหนี้ระยะยาวแบบที่ผมเข้าใจ

  เกริ่น วงจรหนี้ระยะยาวเท่าที่อ่านในหนังสือของเรย์เดริโอมาผมแถบจะไม่เข้าใจอะไรเลย เข้าใจแต่ว่าหนี้มากกว่ารายได้!! 5555+   ต้องขอบคุณท่านเรย์เดริโออีกครั้งที่ทำการ์ตูน^/\^ "How The Economic Machine Works "ทั้งเก่งทั้งแชร์ความรู้ .......ผมจะสรุปเท่าที่ผมเข้าใจดังนี้
ภาพรวมทั้งหมดราวๆ 75-100ปี
1.ต้องบอกก่อนว่าในวงจรหนี้ระยะยาวก็จะประกอบไปด้วย วงจรหนี้ระยะสั้นหลายๆรอบต่อๆกัน ซึ่งส่วนนี้เราจะได้ยินจากข่าวเศรษฐกิจทั่วๆไปรายวัน รายสัปดาห์ทั้วๆไป เช่นงบประมาณรัฐบาลขาดดุล!  ธนาคารกลางปรับลดดอกเบี้ย!  เศรษฐกิจภาคการส่งออกลดลง บลาๆๆๆ ข่าวพวกนี้คือวงจรหนี้ระยะสั้นหากเราติดตามมากไป ก็จะมองไม่เห็นภาพใหญ่ และไม่เข้าในเศรษฐกิจโดยรวมได้เลย

2.รอบแรกของวงจรหนี้ระยะยาว(ขาขึ้น)  ก็จะเกิดวงจรหนี้ระยะสั้นหลายๆรอบโดยแต่ระรอบก็จะมีลักษณะเหมือนๆกันคือ  ผู้ผลิตสินค้ามาขาย<คนซื้อจ่ายเงินซื้อสินค้า <ผู้ผลิตมีรายได้มากขึ้นกู้เงินเพิ่ม <ผู้ผลิตซื้อของแพงขึ้น <ขายของแพงขึ้น<รายได้มากขึ้น <กู้เงินเพิ่มขึ้น ทำให้ช่วงนี้คนรู้สึกวาตัวเองรวยก็จะกู้มากขึ้น ตราบใดที่รายได้ยังมากกว่าหนี้ที่กู้ มันก็ยังควบคุมได้อยู่  ก็จะวนๆไปแบบนี้ จนทำให้ของในตลาดทุกอย่างแพงขึ้นจนเกิดเป็นเงินเฟ้ออออ
ขายของได้มากขึ้น รายได้ก็มากขึ้น ราคาของก็แพงขึ้น! คนรู้สึกรวยขึ้น =D


3.เราเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าหากเงินเฟ้อมากๆ ธนาคารกลางก็จะออกมาปรับดอกเบี้ยให้มากขึ้นเพื่อให้คนกู้น้อยลง แล้วเศรษฐกิจก็จะกลับมาสมดุลอีกครั้ง แต่จุดเปลี่ยนก็คือ เมื่อรายได้ของคนๆนึง-เป็นรายจ่ายอีกคนนึงเสมอ และเมื่อคนๆนึงมีรายได้ที่ลดลงเขาก็จะจ่ายลดลงด้วย  จึงทำให้การขายของสินค้าลดลงเรื่อยๆ  คนที่กู้เงินเยอะๆก็จะเริ่มเอาทรัพย์สินมาขาย (บ้าน หุ้น ) แต่ไม่ใช่คนเดียวซิครับที่ได้รับผลกระทบ ผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากการที่ต้องชำระหนี้ก็มีมากขึ้นคนก็เอาทรัพย์สินออกมาขายขึ้นเรื่อยๆและมากขึ้นๆ  ทำให้ราคาหุ้น-บ้าน ลดลงอย่างมากเพราะ คนต้องการขายทรัพย์สินมีเยอะกว่าคนที่จะรับซื้อ

4.เกิดสภาวะ Deleveracing คือ คนเริ่มรัดเข็มขัดลดรายจ่าย  เครดิตหายไปรายจ่ายหายไป ธนาคารถูกบีบ ภาวะสังคมตึงเครียดขึ้น  หากเป็นในช่วงวงจรหนี้ระยะสั้น ธนาคารกลางก็จะมาปรับลดดอกเบี้ย แต่นี้ปรับลดไม่ได้แล้วเพราะ ดอกเบี้ยเข้าใกล้ 0%  สิ่งที่ทำได้คือ 1.ลดรายจ่าย  2.เริ่มจ่ายหนี้คืนปรับโครงสร้าง 3.เก็บภาษีคนรวย  4.ธนาคารกลางพิมพ์เงิน

5.เมื่อไม่สามารถกู้หนี้ใหม่ ก็จะพอมีรายได้จ่ายหนี้เก่า หนี้ก็จะค่อยๆลดลง ธนาคารก็จะสามารถพิมพ์เงินเพื่อมาซื้อทรัพย์สินทางการเงินได้  เมื่อคนที่ขายทรัพย์สินมีเงินสดเขามาก็เข้าไปซื้อ บอนด์รัฐบาลก็มีรายได้เข้ามา เพื่อทำตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเช่น จ้างงานมากขึ้น ซื้อสินค้าและบริการอื่นๆ
เมื่อคนมีเงินมากขึ้น หนี้โดยรวมก็จะลดลงเรื่อยๆ   ช่วงนี้เป็นช่วงที่ละเอียดอ่อนมากๆต้องทำสมดุลให้ได้ระหว่าง การพิมพ์เงินกับการ ลดลายจ่าย เก็บภาษีเพิ่ม ช่วงนี้สังคมเริ่มมีการประท้วงตรึงเครียด รายได้น้อย และการเติมโตเศรษฐกิจช้า อื่นๆ



6.Deleveracing ที่สวยงาม ^___^  เมื่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นทรัพย์สินที่มากขึ้นถูกปรับสมดุล มันก็จะกลับมาสู้โหมด ที่คนทำงานเพื่อใช้หนี้แม้ว่า Deleveracingจะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากแต่มันก็สามารถดีได้หากจัดการที่ดี  "เมื่อหนี้ลดลงเมื่อเทียบกับรายได้ จากการเติบโตทางบวกทางเศรษฐกิจที่แท้จริง "หลังจาก Delevercing ผ่านพ้นไป ก็จะกลับมาที่รูปแบบเดิมคือจนเศรษฐกิจเริ่มเติบโตใหม่อาจต้องใช้เวลานาน
 ผู้ผลิตสินค้ามาขาย<คนซื้อจ่ายเงินซื้อสินค้า <ผู้ผลิตมีรายได้มากขึ้นกู้เงินเพิ่ม <ผู้ผลิตซื้อของแพงขึ้น <ขายของแพงขึ้น<รายได้มากขึ้น <กู้เงินเพิ่มขึ้น



7.หลายคนกังวลว่าธนาคารกลางพิมพ์เงินมากไปหรือเปล่าเงินท่วมโลกไหม??  จริงๆแล้วไม่เลยเพราะธนาคารกลางพิมพ์เงินจะอ้างอิงถึงภาระหนี้เพื่อให้มีเงินเข้ามาในระบบเครดิตก็จะเริ่มหายไป  ลองคิดดูหากทุกคน ทุกบริษัทสามารถ ชำระหนี้ได้ตามสัญญาหนี้โดยรวมที่มีก็จะค่อยๆลดลง ยกตัวอย่าง เป็นหนี้ 2%แต่รายได้ 3% สักวันต้องจ่ายหมด ^_^

สุดท้ายเป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆจากท่านเรย์เดริโอ
1.อย่าเป็นหนี้มากกว่ารายได้  2.อย่าให้รายได้สูงกว่าการผลิต
3.ทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มผลผลิตคุณ(โดยไม่กู้เงินมั้ง...)
เพราะระยะยาวคือสิ่งสำคัญที่สุด  Thank you RAY DALIO  ^/\^






วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

ผมเริ่มเรียนรู้อะไรบางอย่าง

ผมเริ่มเรียนรู้อะไรบางอย่าง…

"ผมชอบโลกใบนี้นะครับ โลกนี้มันไม่มีบอกว่าอะไรผิดอะไรถูก มันอยู่ที่เราทำและผลของเราว่าเราพอใจหรือไม่พอใจ ในโลกการเทรดไม่มีใครมาคอยบอกตลอดหรอกว่าแบบไหนถูกแบบไหนผิด หากผิดเราจะเรียนรู้เอง ผมชอบธรรมชาติของสมองคนเรานะครับ  เพราะยิ่งเราผิดพลาดมากขึ้นสมองมันก็จะคำนวนคิดอะไรที่ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันไม่ให้พลาดอีก….สุดยอดไปเลยว่าไหมครับ…"
สิ่งที่ผมจะเริ่มต้นจัดการใหม่กับพอร์ตสอบคือ กลับไปที่เริ่มต้น ผมตัดสินใจจะเทรด long gold โดยกำหนดจุดต่ำสุดไว้ ผมจะยกเลิกการ ล็อคขาดทุน และผมต้องทำใจให้ได้กับผลงานที่โดน vol%ของกองทุนแซง เพราะผมต้องเรียนรู้นิสัยของตลาดทองใหม่หมดและ ปรับโครงสร้าง position โดยไม่มีการลังเลอีกแล้ว ผมคิดว่าตัวเองน่าจะทำตามวินัยได้เพราะเคยทำสำเร็จจากพอร์ตฝึกหัดของกองทุนที่ให้ long ขาเดียวในindex
ผมว่าเสต็ปการเรียนรู้มันต้องเป็นแบบ ABC ทุกอย่างทุกวงการมันมีหลักการ มันอยู่ที่คนๆนั้นจะบอกว่าเป็นอย่างไร…ผมจะยังไม่เอาskill กึ๋นดึงกำไรแบบฉาบฉวยมาครอบครองได้อีกแล้ว เสต็ปแรกคือผมต้องเรียนรู้ตลาดให้มากพอก่อน จนถึงวันที่ผมเริ่มใช้skill เป็น…….

9/15/2013 สบสนแต่ก็ขอลุย


" สบสนแต่ก็ขอลุย " รู้สึกว่าคนเรานิคิดมากจังเลย ฮ่าๆๆ ผมนั่งดูposition ดูกราฟ ดูคนอื่นๆ สุดท้ายก็กลับดูอารมณ์ตัวเอง ทำให้ผมรู้สึกหลายอย่างมากๆกับพอร์ตสอบนี้ มีความสับสนที่ผมจับเป็นตัวอักษรออกมาได้ คือ ผมไม่แน่ใจว่าผมคิดถูกหรือเปล่าที่จะทำตามกฎที่วางไว้คือ long 5 position  หรือว่าจะลองเทรดแบบใช้กึ๋นมี sl ใช้skill 
ตอนนี้ผมเห็นซิกแนลบางอย่างของกราฟทองซึ่งทำให้ผมมั่นใจว่า จะต้องลงไปถึง 1250ได้ ผมจึงอยาก short มากๆ แต่กระสุนผมหมด กระสุนผมติดอยู่กับ Gold 4นัด EU1นัด ผมจะทำอย่างไรดี กระสุนทองแน่นอนผม slไม่ได้แน่ๆเพราะแต่ละนัด -100$ up  หากผมจะเลือกใช้ กึ๋นผมจะต้อง ตัดขาดทุน euซึ่งติดลบอยู่ -9$  แต่ถ้าหากผมมีกระสุนแล้วเทรด short gold แล้วมันลงไปถึงเป้าผมจะได้ 50-60$เลยนะ มันดูเป็นผลตอบแทนที่สุดคุ้มจริงๆ  แต่หากมันลงไปไม่ถึงหละ ผมก็จะติด -9$ แล้วหา cash flowมาปิดไม่ได้ก็จะโดนหักกระสุนไป……
เอายังไงดี ผมตั้งกฎไว้ดีไหม ปิดบวก euให้ได้กระสุนคืนมาก่อน แล้วจึงไป short gold ดีกว่า แต่หากผมยังไม่สามารถปิดบวก eu ได้หละ แล้วทองลงไป 1250ก่อนละ ผมหมดโอกาสกินเต็มๆ 50$แน่ๆ  หากมันเป็นไปตามที่คิดก็อยากจะให้ปิดบวก eu ให้ได้ก่อนแล้วค่อยมา short gold  
แต่ถ้าทำได้ สถาณะพอร์ตจะเป็น long 2 short 3 ทันที ซึ่งมันจะตัดกับกฎที่ผมตั้งไว้ว่า long 5 เพื่อไม่ให้เป็นการ cl ทางposition มันทำให้พอร์ตเราไม่โต….อื่ม คิดไปถึงว่าทำไมเราถึงเข้า eu โดยที่ไม่บันทึกอารมณ์เลย….ย้อนกลับไปสถานการณ์นั้นเพิ่งจะปิดบวก long position gold ได้นิน่า แล้วโลภคิดว่าทองจะขึ้นไปต่อเลยเข้า euแทนเพราะคิดว่าทองขึ้น eurusdก็ต้องขึ้นตามเพราะ usd อ่อน…. นั้นไงเรามันโลภอยากได้ CFนิน่าาาถึงได้เข้าแบบไม่คิด แล้วทีนี้จะเอายังไงเนียยย
บอกแล้วไงครับว่า บทความนี้สับสน -* -  เอาไงดีนะ เอางี้หากผมสามารถปิด euบวกได้ ผมก็จะเข้า short gold เพื่อดึงกำไร เพื่อทำตามกึ๋นของตัวเองบอก 
ยังไงมันก็เป็น short3 long 2 ใน gold เลยนะ อืมมมม จะดีไหนเนียนะะ…..ที่ต้องคิดเยอะนิเพราะต้องเทรดแข่งกับ avgค่าเฉลี่ยของกองทุน เพื่ออันดับจะได้ขึ้นตอนนี้ ค่าเฉลี่ยกองทุนอยู่ที่ 19.69% แต่ผมมี 16.41%เองอีก4%ที่ต้องทำให้ได้ แต่มันจะเพิ่มอีกเรื่อยๆ ราคาจะทำให้เรามี CF ออกมาได้หรือเปล่านิซิ อาจจะโดนแซงไปไกลกว่า 4%ก็ได้ แต่ไม่ยอมหรอก คิดว่าหากเกิน 10% ถึงจะน่ากลัว
 สรุปตอนนี้  จะปิดบวก euให้ได้ก่อน แล้วรอให้ Gold ลงไปถึง 1250 แล้วค่อยทำตามแผนเดิม long 5 ยังไงก็จะใช้แผนนี้ long 5 คุมให้ถึงทองราคา 950$ แต่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยคือ หากติดครบ 4นัด นัดสุดท้ายผมจะมีการตั้ง sl ไว้หากมีCFเหลือพอที่จะCFได้  

9/17/2013 ที่สับสนเพราะ ….

ที่ต้องสับสนหนักเอาการก็เพราะเห็นกราฟแบบนี้ซิครับ ฮ่าาา
กราฟบนเป็นกราฟ eurusd ซึ่งผมlong ไว้อยู่แล้วราคามันเปิดgap ผมคิดว่ามันต้องลงไปปิดแน่ๆ ซึ่งแน่นอนหากผมรู้ผมจะต้องเสียโอกาสแน่ๆหากมันลงไปจริงๆ แทนที่ผมจะปิดขาดทุน 6$ แล้วมาเปิด short ที่ทองเพื่อเอา 50$ มันจะคุ้มหรือเปล่า ถ้าหากถูกทางมันจะคุ้มมากๆๆ

ภาพบนเป็นกราฟทอง  ผมเห็นมันเปิดgapที่ 1250 หากผมได้กระสุนทันที่จะ short ก็จะมาเข้าทอง ที่ผมกังวลจริงๆก็คือ vol%ของกองทุนที่สูงขึ้น 5555+ มันกดดันตัวผมเองมากๆ ที่ต้องทำให้ค่าเฉลีย ผลงานผมเพิ่มขึ้นเพราะตอนนี้ค่าเฉลียผมเริ่มห่างไกล และผมต้องพยายาม…..เข้าใกล้ค่าเฉลียแบบปลอดภัยและมีประสิทธิ์ภาพมากที่สุด 
อืมมม ยังไงๆก็กลับมาที่ลูบเดิมๆอีกแล้ว ผมลองถามกับตัวเองอีกครั้งดูว่า ทำไมผมถึงรู้สึกสับสนกังวลกับการเทรดพอร์ตสอบนี้…ผมเคยเป็นแบบนี้แล้วรอบนึงตอนแข่งBT ตอนนั้นที่ผมสับสนก็คือ ผมไม่รู้ว่าการป้องกันพอร์ตทำอย่างไรดีผมเลยกังวลอยู่พักนึง สุดท้ายผมเลยเลือกที่จะ control position ไม่ให้หนักพอร์ตเกินไป สุดท้ายผมก็แพ้พอร์ตน้ำมันเพราะskillการเทรดเขาเหนือกว่ามาก ผมป้องกันตัวเองจากตลาดได้แต่ป้องกันการโจนตีจากพอร์ตน้ำมันไม่ได้  
เอาเรื่องนี้มาคิดรวมกับBTสรุปสั้นๆง่ายๆคือ จุดเริ่มต้นผมยังไม่เคลียตัวเองนั้นเองว่า ภาพใหญ่ผมจะ control ผลงานเป็นแบบไหน หรือโครงสร้าง position เป็นแบบไหน เน้นskill หรือเน้นเรียนรู้ตลาด หรือศึกษานิสัยสินค้ายังไง ฉะนั้นผมคิดว่าหากผมเคลียเรื่องจุดเริ่มต้นตอนนี้ได้และยอมรับผลด้านจิตใจต่างๆได้ ผมจะต้องดีขึ้นแน่ๆ หากจุดเริ่มต้นถูกต้องสบายใจ…ก้าวต่อๆไปมันจะเริ่มมั่นคงและก้าวหน้า…..
เอาหละกลับไปดูจุดเริ่มต้นใหม่ : ตอนแรกผมคิดว่าจะรักษากระสุนให้อยู่ครบ5นัดให้ได้ในระยะยาวดึงCFออกมาซื้อหุ้นภาพใหญ่มองว่า ทองยังมีมูลค่าคงลงไม่ถึง 1200 (สุดท้ายทะลุไปเรียบร้อยฮ่าๆ) ผมจึงเริ่มเทรด long position อย่างเดียว….หลังจากนั้นไม่นานผมเริ่มอยากเอาskillกึ๋นเข้ามาด้วยนั้นคือจุดเปลี่ยน….
จุดเปลี่ยน เริ่มต้นผ่านมา1-2เดือน ผมเห็นพี่ๆแต่ละคนเก็บ vol% ได้เยอะมากๆๆ ผมเลยเปลี่ยนแผนจากเดิมผมเริ่มเข้าshort เพื่อหวังcf มากขึ้น สุดท้ายผมก็ทำได้ ได้ถึง 2เดือนติดกัน นั้นหละคือความหอมหวานของกำไรฉาบฉวยที่ผมได้รับ….แล้วเดือนต่อมาCF ผมแถบจะหยุดนิ่งทันที ผมเริ่มเรียนรู้อะไรบางอย่าง….

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

Babysit Canceled

" เป้าหมายพวกเรามันไกลกว่านั้น...การรักษาพลังงานของพวกน้อง และ 
พลังงานของตัวพี่ไว้เป็นเรื่องจำเป็นมาก"-บอสมัดเล่

ทุกครั้งที่ผมมีความสุขสุดๆ หรือเศร้าสุดๆผมจะมาระบายลงในนี้ ผมชอบ keepอารมณ์ตัวเองไว้ อิอิอิ อีกทั้งเป็นการฝึกจิตวิทยาของตัวเองด้วย....แต่เป้าหมายลึกๆส่วนตัวก็จะเก็บไว้อีกที่นึง 

เข้าเรื่อง  ช่วงหลังจากเดือนตุลาคม56 หรือตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มีข่าวดีของกองทุน....ซึ่่งจะต้องทำให้เราจริงจังขึ้นอีกระดับนึงทั้งตัวผมและพี่ๆในกองทุนเราอาจต้องลดเรื่องไร้สาระบางอย่างเพื่อเก็บพลังงานหรือจิตใจที่ดีที่มีประโยชน์แก่เป้าหมายหลักๆของพวกเรา และผมก็พร้อมที่จะรับสถานการณ์แบบนั้น การตอบคำถามต่างๆของบอสมัดเล่ การ Babysitจะลดน้อยลง ^^

ความรู้สึกตอนนี้ ผมรู้สึกมีความสุขลึกๆอยู่ในใจ....ที่ผมได้มาถึงจุดนี้แม้มันจะเล็กๆก็ตาม จริงๆผมชอบคำว่าเฮดจ์ฟันด์มาตั้งแต่อ่านคำนี้ ครั้งแรกเลยจริงๆ ชอบเพราะอะไรหลายๆอย่างที่เป็นเฮดจ์ฟันด์ ชอบที่เฮดจ์ฟันด์จะมีเทคนิคการลงทุนไม่เหมือนกับกองทุนรวมทั่วๆไป ชอบที่เขาเป็นพวกเขาเป็นปฏิบัตินิยม ชอบที่เขามีรูปแบบหลากหลายในการลงทุนฉีกข้อจำกัดเดิมๆ  ความคิดของพวกเข้านั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ชอบที่่เขามีงานวิจัยต่างๆเกี่ยวกับสังคม ปรัชญา คณิตศาสตร์ หรือประสบการณ์ต่างๆที่น่าสนใจเอามากๆ และความคิดพวกเขาสามารถ move สังคมๆนึงได้เลยจริงๆ เสมือนพวกเขาเป็นกลุ่มหัวหอกของงานวิจัยต่างๆที่วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ยังไม่ยอมรับ แต่พวกเขาสามารถนำไปใช้ได้จริงและเป็นกลุ่มต้นๆที่จะเพิ่มหลักสูตรการเรียนในอนาคตได้....สุดท้ายชอบที่เขารับเงินเฉพาะกลุ่มคนรวยผู้มีอุดมการณ์ร่วมกันมองเห็นนักลงทุนเป็นครอบครัวเลยทีเดียว อิอิ (อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระแต่ก็เป็นความชอบส่วนตัว555+) และลองจินตนาการณ์ดูซิ คุณได้ทำงานและเรียนรู้ในกองทุนเฮดจ์ฟันด์นั้น มันจะสุดยอดของชีวิตแค่ไหน...และผมก็อยู่ในภาพนั้น =D