วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

The All Weather (จำลอง)

The All Weather (จำลอง)
"So I think I’m going to answer it in the following way that I think that is the right way for people to look at it. It’s the way I look at it. I think that the first thing is you should have a strategic asset allocation mix that assumes that you don’t know what the future is going to hold.  And I think most people should…" Ray Dalio

ต้องขอบคุณแนวคิดของท่านเรย์และพี่ต้านmudleygroup ที่ทำให้พอร์ตผมยังมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ฮ่าๆๆ ถึงแม้กำไรน้อยแต่ก็ยังมีชีวิตรอด ยังไงก็ถือว่าคุ้มแล้ว วันนี้จะมาเขียนย้ำแนวคิดที่ทำให้ผมรอดพ้นจาก ปีที่ตลาดหุ้นไทยตกจาก1500-1200โดยประมาณ ทองตก น้ำมันตก ค่าเงินบางตัวลดลงถึง 30-40%

เริ่มจากแนวคิดThe all weather ก็คือเราต้องจำลองพอร์ตตัวเราให้เป็นตลาดซะเอง โดยการไม่เดาทิศทางตลาดใดๆทั้งสิ้น ถ้าเปรียบกับการเข้าบ่อนไฮโลก็คือแทงทุกหน้านั้นหละแต่ตลาดหุ้นกับการพนันมันไม่เหมือนกัน การแทงทุกหน้าเลยได้เปรียบ (ไม่ใช่Long/shortพร้อมกันนะ) การที่เราไม่ต้องเดาทิศทางตลาดก็คือเราต้องเข้าใจธรรมชาติพื้นฐานของเศรษฐกิจเสียก่อน พื้นฐานง่ายๆก็คือ ดูที่ Inflation
(เงินเฟ้อ)กับGrowth(การเติบโต) กับความสัมพันธ์ของตลาด ถ้าดูจากภาพตัวอย่างเราจะได้เห็นคือ

 Screenshot_2.jpg
(ภาพจากpeper Risk Parity is About Balance) http://www.bwater.com/ViewDocument.aspx?f=76
1.เมื่อเงินเฟ้อลดลงจะเป็นผลดีกับ Bonds และ Stock
2.ถ้าGrowthมากขึ้นจะเป็นผลเสียต่อ Bonds แต่จะเป็นผลดีกับ Stock
ในทางกลับกันถ้าหาก เงินเฟ้อสูงขึ้นหละ มันก็จะเป็นทิศตรงข้ามกับผังในรูป ก็คือ
1.เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ก็เป็นผลเสียกับ Bond และ Stock
2.เงินเฟ้อสูงขึ้นส่งผลทำให้ Growth ลดลง ก็จะทำให้เป็นผลดีกับ Bonds แต่เป็นผลเสียกับ Stock

***Growth คือการเติบโตของตลาด ในที่นี้หมายถึงการเติบโตของราคาสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต สินค้าหลักๆเช่น น้ำมัน ไม้ ยาง ทอง แร่ หุ้น เศรษฐกิจ ถ้าพวกนี้เติบโต ก็ทำให้ค่า Growthเป็นบวก

เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของเศรษฐกิจแล้วจะทำให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าตลาดใดๆมันจะไม่ค่อยมีทางที่จะไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เช่น ทองกับตลาดหุ้นมูลค่าอาจจะไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ฉะนั้นการบริหารพอร์ตเราเลยถือสินค้าพวกนี้ในสัตส่วนเท่าๆกันเลยดังในรูป
Screenshot_1.jpg
(ภาพจากpeper Risk Parity is About Balance) http://www.bwater.com/ViewDocument.aspx?f=76
ในรูปก็จะเห็นว่าเขาเอา ตัว Inflation มาเทียบกับตัว Growth เพื่อแสดงว่าตลาดจะไม่มีทางที่มูลค่าจะไปทิศทางเดียวกันตลอด เขาจึงบริหารความเสียงไว้เท่าๆกัน

จากที่ผมอธิบายมาอาจจะไม่เห็นภาพมากพอ ผมไปเจอคนที่เขาทดสอบแนวคิดนี้ในเว็บนึงมา
วิธีเขาทำง่ายมากๆ
เขาเลือกที่ถือ stock 25% bonds 25% Gold 25% cash 25% โดยใช้สินค้า
1. stock แทน STI ETF
2. Bonds แทนlong term government bond: iShares Barclays 20+ Yr Bond ETF (TLT)
3.gold แทน SPDR GLD
4. cash แทน SGD cash

Screenshot_3.jpg
ภาพจาก http://www.investmentmoats.com/wealth-building-2/holy-grail-portfolio-permanent-portfolio-face-quiet-periods-deal/
Screenshot_4.jpg

ภาพจาก http://www.investmentmoats.com/stock-market-commentary/portfolio-management/the-permanent-portfolio-the-holy-grail-for-investing/

จากภาพจะเห็นว่าบางปีทองไม่ได้ขึ้นเลย แต่ก็มีสินค้าอย่างอื่นที่ขึ้นมาทดแทนกัน แต่โดยรวมพอร์ตของเราก็จะขึ้นตามมูลค่าของตลาดด้วยตัวของมันเอง ^^  ถ้าเราอยากเข้าใจการทำงานของพอร์ตนี้ต้องลองเอาไปประยุกต์ใช้ในแบบของที่ตัวเราถนัดเราจะเห็นภาพและเข้าใจ มากขึ้น อิอิ








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น