The All Weather (จำลอง)
"So I think I’m going to answer it in the following way that I think that is the right way for people to look at it. It’s the way I look at it. I think that the first thing is you should have a strategic asset allocation mix that assumes that you don’t know what the future is going to hold. And I think most people should…" Ray Dalio
ต้องขอบคุณแนวคิดของท่านเรย์และพี่ต้านmudleygroup ที่ทำให้พอร์ตผมยังมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ฮ่าๆๆ ถึงแม้กำไรน้อยแต่ก็ยังมีชีวิตรอด ยังไงก็ถือว่าคุ้มแล้ว วันนี้จะมาเขียนย้ำแนวคิดที่ทำให้ผมรอดพ้นจาก ปีที่ตลาดหุ้นไทยตกจาก1500-1200โดยประมาณ ทองตก น้ำมันตก ค่าเงินบางตัวลดลงถึง 30-40%
เริ่มจากแนวคิดThe all weather ก็คือเราต้องจำลองพอร์ตตัวเราให้เป็นตลาดซะเอง โดยการไม่เดาทิศทางตลาดใดๆทั้งสิ้น ถ้าเปรียบกับการเข้าบ่อนไฮโลก็คือแทงทุกหน้านั้นหละแต่ตลาดหุ้นกับการพนันมันไม่เหมือนกัน การแทงทุกหน้าเลยได้เปรียบ (ไม่ใช่Long/shortพร้อมกันนะ) การที่เราไม่ต้องเดาทิศทางตลาดก็คือเราต้องเข้าใจธรรมชาติพื้นฐานของเศรษฐกิจเสียก่อน พื้นฐานง่ายๆก็คือ ดูที่ Inflation
(เงินเฟ้อ)กับGrowth(การเติบโต) กับความสัมพันธ์ของตลาด ถ้าดูจากภาพตัวอย่างเราจะได้เห็นคือ
1.เมื่อเงินเฟ้อลดลงจะเป็นผลดีกับ Bonds และ Stock
2.ถ้าGrowthมากขึ้นจะเป็นผลเสียต่อ Bonds แต่จะเป็นผลดีกับ Stock
ในทางกลับกันถ้าหาก เงินเฟ้อสูงขึ้นหละ มันก็จะเป็นทิศตรงข้ามกับผังในรูป ก็คือ
1.เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ก็เป็นผลเสียกับ Bond และ Stock
2.เงินเฟ้อสูงขึ้นส่งผลทำให้ Growth ลดลง ก็จะทำให้เป็นผลดีกับ Bonds แต่เป็นผลเสียกับ Stock
***Growth คือการเติบโตของตลาด ในที่นี้หมายถึงการเติบโตของราคาสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต สินค้าหลักๆเช่น น้ำมัน ไม้ ยาง ทอง แร่ หุ้น เศรษฐกิจ ถ้าพวกนี้เติบโต ก็ทำให้ค่า Growthเป็นบวก
เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของเศรษฐกิจแล้วจะทำให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าตลาดใดๆมันจะไม่ค่อยมีทางที่จะไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เช่น ทองกับตลาดหุ้นมูลค่าอาจจะไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ฉะนั้นการบริหารพอร์ตเราเลยถือสินค้าพวกนี้ในสัตส่วนเท่าๆกันเลยดังในรูป
ในรูปก็จะเห็นว่าเขาเอา ตัว Inflation มาเทียบกับตัว Growth เพื่อแสดงว่าตลาดจะไม่มีทางที่มูลค่าจะไปทิศทางเดียวกันตลอด เขาจึงบริหารความเสียงไว้เท่าๆกัน
จากที่ผมอธิบายมาอาจจะไม่เห็นภาพมากพอ ผมไปเจอคนที่เขาทดสอบแนวคิดนี้ในเว็บนึงมา
วิธีเขาทำง่ายมากๆ
เขาเลือกที่ถือ stock 25% bonds 25% Gold 25% cash 25% โดยใช้สินค้า
1. stock แทน STI ETF
2. Bonds แทนlong term government bond: iShares Barclays 20+ Yr Bond ETF (TLT)
3.gold แทน SPDR GLD
4. cash แทน SGD cash
ภาพจาก http://www.investmentmoats.com/wealth-building-2/holy-grail-portfolio-permanent-portfolio-face-quiet-periods-deal/
ภาพจาก http://www.investmentmoats.com/stock-market-commentary/portfolio-management/the-permanent-portfolio-the-holy-grail-for-investing/
จากภาพจะเห็นว่าบางปีทองไม่ได้ขึ้นเลย แต่ก็มีสินค้าอย่างอื่นที่ขึ้นมาทดแทนกัน แต่โดยรวมพอร์ตของเราก็จะขึ้นตามมูลค่าของตลาดด้วยตัวของมันเอง ^^ ถ้าเราอยากเข้าใจการทำงานของพอร์ตนี้ต้องลองเอาไปประยุกต์ใช้ในแบบของที่ตัวเราถนัดเราจะเห็นภาพและเข้าใจ มากขึ้น อิอิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น